UFABETWIN “แมดส์ มิคเคลเซน” : ดาวร้ายขวัญใจมหาชนผู้เคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเพราะทักษะยิมนาสติก

ภาพยนตร์ภาคแยกจากจักรวาลโลกเวทมนตร์ของ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” หรือ “สัตว์มหัศจรรย์ ความลับของดัมเบิลดอร์” ได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการเสียที

หลังก่อนหน้านี้ประสบปัญหาล้มลุกคลุกคลานจากการถ่ายทำ เพราะปัญหาเรื่องการหานักแสดงมารับบท “กรินเดลวัลด์” แทน “จอห์นนี เดปป์” แต่ท้ายที่สุดก็ได้ “แมดส์ มิคเคลเซน” นักแสดงสัญชาติเดนมาร์ก มารับบทตัวร้ายของภาคนี้ สานต่อสิ่งที่เดปป์ได้เริ่มไว้

แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เดปป์ต้องโบกมืออำลาบทนี้ไปอย่างไม่เต็มใจ เพราะเรื่องคดีการหย่าร้างกับ “แอมเบอร์ เฮิร์ด” อดีตภรรยา แต่การเลือกมิคเคลเซนมารับบทแทนก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เพราะนอกจากมาดแบบ “คุณลุงสุดเท่” ที่ทั้งสองมีคล้ายกันแล้ว มิคเคลเซน ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งในเรื่องของการแสดงที่เป็นอาชีพหลักของเขาหรือในด้านที่เราอาจจะไม่รู้อย่าง “ด้านกีฬา” ที่เขาชื่นชอบเป็นงานอดิเรกและเป็นแต้มต่อของเขาในอาชีพนักแสดงเวลาเล่นฉากผาดโผน

ความสามารถด้านกีฬาของเขา เคยแม้กระทั่งช่วยชีวิตเขาให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าเขาไม่ได้แข็งแรงขนาดที่สามารถ “ตีลังกา” บนอากาศแล้วลงยืนบนพื้นได้ เราก็อาจจะไม่ได้เห็นเขาโลดแล่นอยู่บนจอเงินแบบทุกวันนี้ก็เป็นได้

เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร? มาร่วมทำความรู้จัก แมดส์ มิคเคลเซน ให้มากขึ้นไปพร้อมกัน

“เด่นมาก” มาจาก “เดนมาร์ก”

หากพูดถึงรายชื่อของนักแสดงในวงการภาพยนตร์ที่มักจะเลือกรับบทเป็นตัวร้าย แต่สุดท้ายก็ได้เป็นขวัญใจคนดูไปเสียแทน ไม่ว่าจะเป็นเพราะตัวบทหรือความสามารถในการนักแสดง ท่ามกลางรายชื่อของ “ตัวร้ายสุดฮอต” ที่ประกอบไปด้วย “ราล์ฟ ไฟนส์” (ลอร์ด โวลเดอร์มอร์ จาก แฟรนไชส์แฮร์รี่ พอตเตอร์), “ทอม ฮิดเดิลสตัน” (โลกิ จาก แฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่ MCU) หรือ “อดัม ไดรเวอร์” (ไคโล เร็น จาก แฟรนไชส์สตาร์วอร์ส) ชื่อของ “แมดส์ มิคเคลเซน” ก็คงได้อยู่ในลิสต์เดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทุกครั้งที่นายตัวร้ายคนนี้ไปปรากฏตัวบนจอหนังบล็อกบัสเตอร์ เขาก็มักจะได้รับความสนใจจากแฟนๆและโลกอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ ด้วยคาแร็กเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะหาใครมาเทียบเคียง

“แมดส์ มิคเคลเซน” หรือชื่อเต็ม “แมดส์ ดิตแมนน์ มิคเคลเซน” เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ.1965 เป็นนักแสดงชาวเดนิช จากย่านออสเตอร์โบร โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เริ่มสร้างผลงานและโลดแล่นอยู่ในวงการภาพยนตร์มาตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ​ 1990s โดยเริ่มจับงานแสดงเล็กๆในภาพยนตร์ภายในประเทศเดนมาร์กจากภาพยนตร์อาชญากรรม-ทริลเลอร์เรื่อง (1996) ผลงานกำกับชิ้นยาวเรื่องแรกของ “นิโคลัส ไวน์ดิง เรฟเฟน” (คนเดียวกับที่กำกับ Drive หนังแอ็กชั่นสุดเท่ในปี 2011) ก่อนที่จะค่อยๆเก็บสั่งสมประสบการณ์เดินลุยเส้นทางนักแสดงไปจนถึงระดับโลกในปัจจุบัน

 

UFABETWIN

มิคเคลเซนได้เริ่มไต่เต้าจากการเป็นนักแสดงภาพยนตร์นอกกระแสจากประเทศเดนมาร์กตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา จนเขาเริ่มมีผลงานออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องแบบปีต่อปีมากขึ้น อาทิ ภาพยนตร์ดราม่าที่ชื่อ ในปี 1998 ประกบนักแสดง “นิโคไล คอสเตอร์-วัลเดา” (เจมี่ แลนนิสเตอร์ ภาพยนตร์อาชญกรรม-ดราม่า ในปี 1999 ที่เป็นการร่วมงานกันครั้งที่สองกับเรฟเฟน หรือ ภาพยนตร์อาชญากรรม-คอมเมดี้ ในปี 2000

การจะบอกว่ามิคเคลเซนได้กลายมาเป็นดาวเด่นของวงการภาพยนตร์เดนมาร์ก ณ ตอนนั้นก็คงไม่เวอร์เกินจริงเท่าไรนัก เพราะในปีเดียวกัน มิคเคลเซนก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นและเริ่มมีชื่อปรากฏขึ้นมาในรายการประกาศผลรางวัลครั้งแรกสุดจากการรับบทเป็นคู่รักเกย์ในภาพยนตร์ดราม่า-คอมเมดี้เรื่อง จนได้รับรางวัล ที่เป็นรายการประกาศผลรางวัลที่จัดขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ของประเทศเดนมาร์ก ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และต่อมาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในเวทีของ งานประกาศผลรางวัลประจำปีที่จัดขึ้นโดยสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งเดนมาร์กจากการรับบทนำในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง ในปี 2002

จุดเปลี่ยนที่สำคัญในเส้นทางอาชีพของมิคเคลเซนเกิดขึ้นในปี 2006 จากการได้รับบทเป็น “เลอ ชีฟร์” ตัวร้ายของ “เจมส์ บอนด์” ในภาพยนตร์ ที่มีความสำคัญอยู่ที่เป็นภาคกึ่งรีบูทของแฟรนไชส์ 007 อีกทั้งยังมีการตีความตัวละครเจมส์ บอนด์ใหม่ให้เป็นสายลับสายดุ ผ่านการแสดงของ “แดเนียล เครก” ที่จะมีความดิบ ขึงขัง มากกว่าที่บอนด์คนก่อนๆเคยมีมา

การแสดงของเครกเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับบทบาทของมิคเคลเซนในฐานะตัวร้าย ที่น่าจำจดไม่แพ้กัน โดยเฉพาะกับฉาก “เก้าอี้” ในตำนาน ที่หลายคนมักจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆเวลาพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ บทตัวร้ายของบอนด์จึงได้เปิดเส้นทางให้นักแสดงจากเดนมาร์กที่ชื่อ แมดส์ มิคเคลเซน เป็นที่รู้จักใน “ฮอลลีวูด” ในที่สุด

 

ทว่าเราจะไม่ได้รู้จักหนึ่งในนักแสดงผู้ร่ำรวยเสน่ห์คนนี้ หากเขาเลือกเดินทางเข้าสู่เส้นทางอาชีพสายกีฬา ในฐานะ “นักยิมนาสติก” หรือ “นักเต้น”

นักกายกรรมเท้าไฟ

หากไม่ใช่เพราะ “การแสดง” ทุกวันนี้เราก็อาจจะได้เห็น แมดส์ มิคเคลเซน ในเวทีการแข่งขันกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิกแทนการเห็นบนจอภาพยนตร์ไปแล้ว เพราะมิคเคลเซนในวัยเด็กเคยเล่นกีฬายิมนาสติกจนเชี่ยวชาญ อีกทั้งเขายังเคยเป็นนักเต้นสุดพริ้ว สวนทางกับมาดนิ่งที่เราได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

“ผมเริ่มฝึกยิมนาสติกเมื่อตอนที่เรียนอยู่ประมาณชั้น ป.1 หรือ ป.2 ได้ แต่ว่าคุณต้องเข้าใจว่ายิมนาสติกในประเทศเดนมาร์กเนี่ยมันค่อนข้างต่างจากที่อื่นบนโลก เพราะว่าพวกเราฝีมืออย่างห่วยเลย ผมจำได้ว่าเคยมีชมรมยิมนาสติกจากประเทศรัสเซียมาเยี่ยมชมรมยิมนาสติกของพวกเรา แล้วมันบ้ามาก เพราะพวกเขาโคตรเก่ง พวกเราก็แบบ -พระเจ้าช่วย พวกเขากำลังเสียเวลาอยู่นะเนี่ย-”

แมดส์ มิคเคลเซน เผยกับ แบบติดตลก เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของเขากับยิมนาสติกตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนที่จะเริ่มมีความสนใจให้กับการเต้นแทนในช่วงวัยรุ่นตอนประมาณอายุ 17-18 ปี

“คือผมเริ่มมาจากการเป็นนักยิมนาสติก แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็มีคนออกแบบท่าเต้นคนหนึ่งมาที่ชมรมของเรา คือเธออยากได้นักกายกรรมประมาณสองคนไปเต้นประกอบฉากหลัง คนที่ตีลังกาได้แล้วจะนำไปผสมกับการเต้นนิดๆหน่อยๆ เธอคิดว่าผมมีความสามารถพอเลยถามผมว่า ผมอยากไปลองเรียนกับเธอไหม? ซึ่งผมก็ดันว่าง ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี”

“ผมไปเต้นกับเธออยู่ 2-3 รอบได้ อารมณ์ประมาณเหมือนโชว์ละครเวที จนรู้สึกว่าผมต้องให้เกียรติการเต้นแล้ว ต้องตั้งใจเรียนตั้งแต่ต้นแบบจริงจังซะแล้ว”

มิคเคลเซนได้เบนเข็มเข้าสู่การเต้นอย่างจริงจังมากขึ้น เขาหลงใหลในศาสตร์ของการเต้นขนาดที่สมัครเข้าเรียนโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ท้องถิ่นที่โกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน เป็นเวลาหนึ่งปี อีกทั้งยังได้ยื่นขอทุนการศึกษาและไปเรียนเต้นที่นิวยอร์ก เดินทางสู่ โรงเรียนสอนเต้นชื่อดังที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดของ “มาร์ธา เกรแฮม” นักเต้นร่วมสมัยผู้ล่วงลับที่มีอิทธิพลต่อวงการเต้นคนหนึ่ง เขาเรียนอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 2 ปีในช่วงปลายทศวรรษ 1980s และโชคดีที่เขาทันเจอกับเกรแฮมในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นจึงกลับมาเข้าร่วมกับคณะบัลเล่ต์ร่วมสมัยที่บ้านเกิดในเดนมาร์ก ตามด้วยการเดินสายละครเวที เล่นมิวสิคัลมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น

การทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมยิมนาสติกตั้งแต่เด็กและทักษะการเต้นของมิคเคลเซน ส่งผลให้ร่างกายของเขามีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และอาจจะคล่องตัวกว่าคนทั่วไป เป็นสุดยอดคุณสมบัติติดตัวเขาที่ทำให้เคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์มาแล้ว

มีวันนี้เพราะ “ตีลังกาเป็น”

มิคเคลเซนเคยเผยกับนิตยสาร Scan ไว้เมื่อปี 2012 ถึงเหตุการณ์เฉียดตายของเขาจากความประมาทของคนอื่นบนท้องถนน ตอนที่เขาได้ขับมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ “นิมบัส” มอเตอร์ไซค์สัญชาติเดนิช โมเดลปี 1937 คันโปรดออกไปเที่ยวรอบๆเมืองเดนมาร์ก แล้วเจอคนขับรถฝ่าไฟแดงมาจากฝั่งตรงข้าม แต่เขากลับรอดตายมาได้ราวกับ “ซูเปอร์ฮีโร่” ยังไงอย่างงั้น

“ผมหยุดรอสัญญาณไฟแดงของผมอยู่ดีๆ พอผมรู้ตัวอีกที มันก็มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาข้างหน้าผมเฉยเลย ผมกับรถคันนั้นบวกกันเต็มๆจนผมลอยขึ้นไป แต่อีท่าไหนก็ไม่รู้ ผมกลับตีลังกากลางอากาศแล้วลงมายืนบนขาของตัวเองได้หวุดหวิด”

“คือผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองทำได้ไง แต่ผมคิดว่ามันอาจจะเกี่ยวกับที่ผมเคยเล่นยิมนาสติกมาก่อนนั่นแหละ”

 

UFABETWIN

แม้ว่าจะฟังดูเหลือเชื่อขนาดไหน แต่หากลองไปหาวิดีโอ “เต้น” ของมิคเคลเซนดูใน ที่ชื่อ ตอนที่เขาได้ขึ้นแสดงในงาน งานประชุมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเดนมาร์ก ที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ โคเปนเฮเกน ในปี 1989 เราก็พอจะเห็นภาพคร่าวๆ และพอเดาได้ว่าเรื่องที่เขาเล่าคงไม่เกินจริงนัก

 

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าในวิดีโอดังกล่าว เราจะได้เห็นมิคเคลเซนที่เป็นนักเต้นเท้าไฟสามารถตีลังกาได้หลายตลบ อีกทั้งยังสามารถแหกขาลงกับพื้นได้อย่างสวยงามอีกต่างหาก ไม่แปลกใจที่เขาจะให้เครดิตความสามารถด้านนี้ของตนเองว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขารอดตายมาได้ ความเซอร์ของยอดมนุษย์เดนิชคนนี้ถึงขนาดมีชาวเน็ตในเว็บบอร์ด ตั้งคำถามแบบติดตลกต่อชีวิตอันสุดเหวี่ยงของเขาเอาไว้ว่า

“ทำไมชีวิตของน้าแมดส์นี่มันเหมือนกับโชว์ ที่ทุกอย่างมันดันเวิร์กกับเขาไปเสียหมดซะอย่างงั้นล่ะ?”

ปัจจุบัน มิคเคลเซน ในวัย 56 ปียังคงดูเป็นชายวัยกลางคนสุขภาพดี สมกับคำกล่าวที่ว่า ที่มีความหมายถึงคนที่ยิ่งมีอายุมากยิ่งดูดี เหมือนไวน์รสดีที่อาศัยเวลาบ่มมาอย่างยาวนาน และเมื่อไม่นานนี้ ในปี 2020 ที่ผ่านมา เขาได้พาตัวเองกลับเข้าสู่การเต้นอีกครั้งอย่างจริงจัง เนื่องจากการรับบทแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่า-คอมเมดี้ ที่บอกเล่าเรื่องราวของครูมัธยมที่ทำการทดลองดื่มแอลกอฮอล์เป็นกิจวัตรประจำวัน เพื่อสังเกตดูว่าสิ่งมึนเมาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาในแต่ละวันยังไงบ้าง

ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมีฉากที่มิคเคลเซนจะต้องเต้นและหมุนตัวไปมาตามบทของคนที่กำลังดื่มแอลกอฮอล์อย่างสนุกสนาน เป็นฉากที่เขาแสดงเองกระโดดเองแบบไม่ใช้สตันต์ใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งยังปราศจากความผิดพลาดและอาการบาดเจ็บ เพราะมันเป็นของถนัดที่เขาเคยทำมาในอดีตบวกกับโครงสร้างอันกำยำจากการออกกำลังกาย

เขาเปิดเผยกับ ถึงฉากเต้นสุดเหวี่ยงสำหรับคนวัย 50 กว่าปีฉากนั้นว่า

“มันเหมือนได้ทักทายเพื่อนเก่าเลย จริงๆผมเป็นพวกนักเต้นที่ไม่ค่อยเต้นเวลาออกไปเที่ยวกับเพื่อนที่คลับนะ ผมไม่ค่อยทำแบบนั้นเพราะคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นอาชีพของผมมั้ง ผมรู้ว่าตัวละครตัวนี้ค่อนข้างที่จะสนิมเกาะประมาณหนึ่งและเขาก็ไม่เคยเป็นนักเต้นอาชีพแบบที่ผมเคยเป็น แต่เขาก็น่าจะเคยเต้นมาบ้างตอนหนุ่มตอนที่ยังเด็ก ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมรู้สึกทะเยอทะยานไปด้วย”

 

ถึงจะฟังดูฟิตขนาดไหน แต่มิคเคลเซนก็ยังทิ้งท้ายแบบขำๆว่า เขารู้สึกว่าตัวเองทั้งเด็กและแก่ในเวลาเดียวกัน เพราะหลังจากที่ได้ถ่ายทำฉากนั้นไปเขาก็รู้สึกปวดไปทั้งตัวเลยทีเดียว

“ผมรู้สึกปวดร้าวไปหมด ผมเล่นกีฬาเยอะมากนะ ทั้งปั่นจักรยาน ทั้งเล่นเทนนิส ผมทำหมดเลย แต่มันใช้กล้ามเนื้อคนละส่วนนี่นา”

ใครจะไปรู้ว่าถ้าวันนั้นมิคเคลเซนไม่ได้ตัดสินใจเบนเข็มทิศชีวิตของตัวเองอีกครั้งไปหาศาสตร์ของการแสดงในปี 1996 หลังจากที่ขลุกอยู่กับการเต้นมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี มิคเคลเซนในเวอร์ชั่นนักเต้นก็อาจจะเดินสายทัวร์ร่วมกับคณะเต้นหรือเล่นละครบรอดเวย์อยู่ในปัจจุบันก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม การเลือกเปลี่ยนอาชีพไปสู่การเป็นนักแสดงของเขาก็ไม่ได้ทำให้เขาห่างไกลจากไลฟ์สไตล์แบบ “สปอร์ตแมน” แบบที่เขาเคยเป็นแต่อย่างใด เพราะเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่รักกีฬาแบบ “เข้าเส้น” อยู่จนถึงทุกวันนี้ และเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจเขาอยู่แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอาจริงเอาจังกับมันแล้วก็ตาม

อ่านมาถึงตรงนี้เราก็คงพอเห็นภาพของทักษะด้านร่างกายที่มิคเคลเซนมีที่นำพาให้เขาทำอะไรได้มากมายหลายอย่างในชีวิตก่อนที่จะผันตัวมาเป็นนักแสดง แต่ใครจะไปทราบว่าการเล่นยิมนาสติกของมิคเคลเซนในวัยเด็กยังเปรียบเสมือนเป็น “ยาวิเศษ” สำหรับเขาอีกด้วย มันเป็นงานอดิเรกที่ช่วยให้เขาไม่ว่างจนเกินไป จนมิคเคลเซนถึงขนาดเคยสงสัยในตัวเองว่า จริงๆแล้วเขาเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือเปล่า?

จากบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ ในปี 2012 มิคเคลเซนเคยเผยว่า

“ผมเป็นเด็กที่ตั้งใจมาก ผมเคยมีไลฟ์สไตล์ที่โลดโผน มีเรื่องร้อยแปดให้ทำตลอดเวลา เล่นยิมนาสติกวันละ 2 ชั่วโมงทุกวัน และยังเล่นแฮนด์บอลหรือกีฬาอะไรก็ได้ที่มีลูกบอล ผมน่าจะเป็นโรค ADHD แหละจริงๆแล้ว ผมเป็นคนที่พลังล้นตลอดเวลา ตัวเล็กด้วย กว่าผมจะโตก็ปีสุดท้ายของการเรียนมัธยมเลย”

หากใครที่ยังนึกภาพตามไม่ออกว่ามิคเคลเซนรักกีฬามากขนาดไหน จากบทสัมภาษณ์เดิมกับนิตยสาร ในปี 2012 เขายังเผยว่า เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยก็ได้ในเวลาว่างนอกจากการ “เล่นกีฬา”

“ถ้าผมสามารถหาวันหยุดให้ตัวเองได้นานถึง 3 ปี ผมสามารถอยู่แต่กับกีฬาก็ยังได้ ผมจะดูมันทุกการแข่งขันไปพร้อมๆกับลงแข่งในทุกการแข่งขันที่ผมจะสามารถลงได้”

“ผมรักการปั่นจักรยาน เล่นฟุตบอล และตีเทนนิส ผมจะกลายเป็นเด็กเสมอ ทุกๆครั้งที่ผมทำอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นแล้วนะ ถ้าผมมีเงินแล้วล่ะก็ผมจะพักเลย มันไม่ใช่ว่าผมจะคิดถึงการแสดงขนาดที่จะกลายเป็นคนบ้าหลังจากที่หยุดทำงานไปไม่กี่เดือนหรอกนะ”

ความจริงแล้ว ภาพของมิคเคลเซนในมาดนักกีฬาก็มีให้เห็นมาตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ได้เป็นดาราดังในฮอลลีวูดแล้ว ตั้งแต่การโผล่ไปเล่นฟุตบอลแมตช์พิเศษที่จัดโดย  องค์กรฟุตบอลเพื่อการกุศลของเดนมาร์กที่มักจะเชิญชวนนักแสดง นักดนตรี และนักฟุตบอลอาชีพมาร่วมเตะฟุตบอลด้วยกันเพื่อการระดมทุน ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 1996 และอีกครั้งในปี 2004, การเล่นแฮนด์บอลเพื่อการกุศลในปี 2003 มาจนถึงตอนนี้ที่ดังขนาดได้ไปตีเทนนิสกับ “วีนัส วิลเลียมส์” พี่สาวของ “เซเรน่า วิลเลียมส์” และอดีตนักมวยอาชีพชาวเดนมาร์ก “มิคเคล เคสเลอร์” ในปี 2018 กิจกรรมเหล่านี้ได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า มิคเคลเซน ไม่เคยห่างจากกีฬาเลยแม้แต่น้อย

มิคเคลเซนยังเป็นคนที่เตรียมพร้อมต่อการเล่นกีฬาแทบจะตลอดเวลา เทคนิคพิเศษของเขาคือการสวมชุดกีฬาสัญจรไปแทบจะทุกที่ พร้อมลุยกับทุกสถานการณ์เหงื่อโชก ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ต่อเทรนด์แฟชั่นกีฬาของเขากับ GQ ในปี 2013

“ส่วนใหญ่แล้วเนี่ยผมจะเป็นมนุษย์ ที่ไปไหนมาไหนโดยสวมชุดกีฬาตลอดเวลา เพราะมันจะต้องมีลูกบอลอยู่ข้างๆผมเสมอสักที่แหละ ผมเล่นกีฬาเยอะน่ะ แต่ผมก็ชอบใส่สูทเหมือนกันนะ ผมมีชุดสูทที่ผมมักจะใส่มันอยู่บ่อยๆ แต่ผมไม่เหมือนฮันนิบาลหรอก ผมใส่มันตอนโอกาสพิเศษเท่านั้น”

มิคเคลเซนยังเผยกับนิตยสาร ในปี 2013 ด้วยว่า ส่วนมากเขาจะอยู่ในชุดแคชชวลที่สบายที่สุด เพราะเขาต้องการจะมั่นใจว่าเขาจะได้เล่นฟุตบอลแบบชิลๆ

“ผมว่าผมชอบใส่ชุดกีฬาที่สุดนะ ผมจะใส่ชุดที่ทำให้ผมเคลื่อนไหวตัวง่ายเสมอ เผื่อไว้ว่าจะเจอใครที่พกลูกฟุตบอลหรืออะไรแบบนี้มา ผมชอบเล่นกีฬาและผมรักฟุตบอล ผมปล่อยให้ลูกฟุตบอลมันอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก”

ประสบการณ์จากการเล่นกีฬาของมิคเคลเซนแทบจะทั้งชีวิตส่งผลให้เขาแข็งแรงจนน่าประทับใจสำหรับคนวัย 50 กว่าปี มิคเคลเซนจะไม่ยอมพลาดโอกาสในการเล่นฉากผาดโผนหรือฉากที่ต้องใช้สตันต์เด็ดขาด เขาจะอาสาลุยเองทุกครั้งเพราะมองว่ามันเป็นเรื่องสุดเจ๋งที่เขาจะได้พบเจอในเส้นทางอาชีพของเขาในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ถึงขนาดยอมฉีกสัญญาได้หากมีคนมาอาสาขอเล่นฉากเหล่านี้แทนตัวเขาเอง

แมดส์ มิคเคลเซน ไม่เพียงแต่จะเป็นนักแสดงที่มีความสามารถด้านร่างกายจากการเล่นกีฬา แต่ยังเป็นคนที่รักกีฬา และใช้ประโยชน์จากการออกกำลังในการทำงาน (และเอาตัวรอด) ได้อย่างน่าสนใจ ไม่แน่ว่าผลงานต่อไปของเขาในภาพยนตร์ “อินเดียน่า โจนส์” ภาค 5 ที่มีกำหนดเข้าฉายในปี 2023 เราก็อาจจะได้เห็นคิวบู๊เดือดๆจากนักแสดงชาวเดนิชคนนี้ก็เป็นได้

UFABETWIN